“BE WAGON” ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ได้กับรถยนต์ทุกประเภทเพื่อให้ทุกการเดินทาง…พร้อม! ทั้งคนและรถ โดยมี 7 ข้อควรทำ คือ
- B Break
- ตรวจสอบระบบเบรคว่ายังใช้งานได้ดีด้วยการทดลองเหยียบเบรคเมื่อเริ่มขับในระยะ 3 – 5 เมตรแรก
- ตรวจสอบผ้าเบรก และเปลี่ยนเมื่อมีความหนาน้อยกว่า 4 มิลลิเมตร หรือเปลี่ยนทุกๆ 25,000 กิโลเมตร
- E Electricity
- ตรวจระบบไฟของรถยนต์ทั้งหมด ได้แก่ ระบบไฟส่องสว่าง ไฟสูง ไฟต่ำ ไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟเบรค
- ตรวจระบบแบตเตอรี่ ซึ่งควรมีสายพ่วงแบตเตอรี่ติดรถไว้เสมอ รวมทั้งตรวจระบบแตรและที่ปัดน้ำฝนให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน
- W Water
- ตรวจสอบระดับน้ำในถังพักน้ำสำรองให้อยู่ระดับสูงสุดและตรวจสอบระดับน้ำในถังน้ำล้างกระจก
- ตรวจเช็คสภาพและระดับน้ำในหม้อน้ำ ซึ่งสามารถทดสอบหม้อน้ำรั่วได้ง่ายๆ ด้วยการค่อยๆ เติมน้ำทีละน้อย โดยเว้นช่วงการเติมแต่ละครั้งประมาณ 5 นาที ถ้าหากระดับน้ำไม่เพิ่มขึ้น ต้องรีบนำรถส่งซ่อมทันที
- A Air
- ตรวจเช็คลมยางและดอกยางโดยดอกไม่ควรลึกน้อยกว่า 3 มิลลิเมตรและยางควรมีอายุไม่เกิน 5 ปีนับจากวันผลิต โดยไม่ควรบรรทุกของหนักบนรถเกินความจำเป็นหรือขับรถด้วยความเร็วสูงจนเกินไป เพราะจะเป็นตัวเร่งให้ยางเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น
- ตรวจเติมน้ำยาแอร์และเช็คแอร์ทุก 3 เดือน หรือทุก 5,000 กิโลเมตร
- ตรวจสอบควันดำโดยติดเครื่องรถยนต์ในเกียร์ว่างอยู่กับที่อย่างน้อย 5 นาทีและปิดระบบปรับอากาศ แล้วทำการเร่งเครื่องยนต์อย่างรวดเร็วจนสุดคันเร่งค้างไว้ 2 – 3 วินาที ทำซ้ำอย่างน้อย 2 ครั้ง หากพบว่ามีควันดำมากเกินไปต้องรีบแก้ไข เพราะควันดำมักมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของรถในส่วนต่างๆ
- G Gasoline
- ตรวจเช็คสภาพของไส้กรองพร้อมกับถังน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์
- O Oil
- ตรวจเช็คน้ำมันหล่อลื่น น้ำมันเกียร์อัตโนมัติ น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ น้ำมันคลัทช์และน้ำมันเฟืองท้ายให้อยู่ในระดับมาตรฐาน ลองมองหาว่าใต้ท้องรถมีรอยรั่วซึมหรือไม่ ทั้งนี้ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องก่อนเดินทางไกลทุกครั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการขับขี่
- N – Noise
- ตรวจเสียงดังของเครื่องยนต์ ท่อไอเสีย และส่วนต่างๆ ของรถยนต์ว่าดังผิดปกติหรือไม่ เพราะเสียงถือเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการสึกหรอของเครื่องยนต์ที่เกิดขึ้น
ที่มา : ข้อมูล BEWAGON จากกรมการขนส่งทางบก